เปรียบเทียบการใช้งานระบบสมาชิก สะสมแต้ม แบบ SaaS กับจ้างพัฒนา Software ด้วยตัวเอง
แม้ว่าในต่างประเทศ เราจะคุ้นหูกับคำว่า Software as a service (SaaS) มานับสิบปี แต่สำหรับองค์กรธุรกิจในประเทศไทยนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ใหม่มาก และเพิ่งคุ้นเคยกันใน 2-3 ปีที่ผ่านมา
Software as a service หรือ SaaS หมายถึง บริการด้านซอฟต์แวร์บนอินเตอร์เน็ต โดยลูกค้าเพียงชำระเงินกับผู้ให้บริการก็สามารถนำเครื่องมือตัวนั้นไปใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องลงทุนด้าน Hardware หรือติดตั้งโปรแกรมเหมือน Software สมัยก่อนแต่อย่างใด
SaaS ที่คุ้นเคยกันอย่างดีคือระบบ Email หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าโลกของเราในช่วงแรกนั้น การมี Email ขององค์กรไม่ได้ง่ายเหมือนทุกวันนี้ ในสมัยก่อนการจะมี Email จะต้องมีการวาง server และ setup ระบบเมล์ ในขณะที่ในปัจจุบัน Email สามารถใช้งานได้ทั้งหมดบนเว็บไซต์ เช่น Google mail ไม่ต้องกังวลหรือ Hardware เพียงจ่ายเงินก็สามารถใช้งานได้เลย
Excel กับ Google sheet ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจน โปรแกรม Excel เราจะต้อง Install โปรแกรมเพื่อใช้งาน เก็บไฟล์ส่วนใหญ่ที่ทำงานไว้ในคอมพิวเตอร์ของเรา ในขณะที่ Google sheet เป็น SaaS ออนไลน์หมด สามารถใช้งานบนเบราวเซอร์โดยไม่ต้องติดตั้ง แต่ความสามารถระดับเดียวกับ Excel
ตลอด 2-3 ปี มานี้ ในหลายๆอุตสาหกรรมจึงมีการปรับตัว พัฒนา Software เป็นไปในลักษณะ SaaS มากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของอินเตอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วมากขึ้น ในอุตสาหกรรม Membership solution หรือ CRM สำหรับธุรกิจ B2C ก็เช่นเดียวกัน
แต่เดิม Membership solution หรือระบบบัตรสมาชิก บัตรสะสมแต้มออนไลน์นั้นมักจะถูกมองว่าเป็น Marketing ที่ทำครั้งเดียวจบในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ต่างกับแคมเปญการตลาดที่มักจะมีช่วงเวลาในการสื่อสารที่จำกัดและทำเป็นรอบๆต่อปี บริษัทส่วนใหญ่จึงนิยมจ้างพัฒนาระบบบัตรสมาชิก บัตรสะสมแต้มของตัวเอง ซึ่งในไทยค่าใช้จ่ายจะอยู่ราว 1 - 10 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ระบบ Membership ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถสร้างความแตกต่าง และทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจที่มีการจัดการสิทธิพิเศษมอบให้กับลูกค้าประจำ สามารถดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำมากกว่าธุรกิจที่ไม่มีระบบเหล่านี้ อีกทั้งลูกค้ายังมีความผูกพันธ์กับแบรนด์มากกว่าธุรกิจที่ไม่มีอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นวันนี้จึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ระบบบัตรสมาชิก บัตรสะสมแต้ม จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งและเป็นแกนของธุรกิจไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับธุรกิจที่กำลังตัดสินใจจะจ้างพัฒนา Software ด้วยตัวเอง อยากให้ลองดูข้อดีข้อเสียก่อนครับ ว่าระหว่างการจ้างพัฒนากับซื้อ SaaS ใช้ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร
Software as a service (SaaS)
ข้อดี
- ราคาถูกกว่า ชำระค่าบริการเป็นรายปี
- ฟีเจอร์ถูกสร้างมาจากประการณ์ที่หลายๆธุรกิจทำมาก่อนและประสบความสำเร็จมากแล้ว
- สามารถตอบโจทย์พื้นฐานของธุรกิจ B2C ในการทำ CRM ได้ทั้งหมด
- ใช้งานได้เลย ไม่ต้องติดตั้ง
ข้อเสีย
- ไม่สามารถปรับแก้โปรแกรมตามความต้องการได้
จ้างพัฒนาระบบบัตรสมาชิกด้วยตัวเอง
ข้อดี
- สามารถปรับแก้ตามความต้องการได้ 100%
ข้อเสีย
- ราคาแพง ชำระค่าพัฒนาและค่าดูแลรักษารายปี ( 1 - 10 ล้านบาท)
- ใช้เวลาในการพัฒนา 6 - 12 เดือน
- มีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวในกระบวนการการพัฒนาซอฟต์แวร์
จะเห็นว่าการจ้างพัฒนานั้นมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเวลาและเงินลงทุนมากกว่า โดยแลกมากับการที่ธุรกิจสามารถปรับโปรแกรมได้ตามความต้องการ 100% ในขณะที่ SaaS ส่วนใหญ่นั้นมีฟีเจอร์พื้นฐานในการใช้งานอยู่แล้ว ราคาถูกกว่า ความเสี่ยงน้อยกว่า แต่แลกมากับการที่ปรับตามความต้องการยากกว่าเช่นกัน ดังนั้นการจ้างพัฒนาจึงเหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่มากๆ ที่มีทั้งกำลังทรัพย์ในการพัฒนาซอฟแวร์ รวมถึงบำรุงรักษามันตลอดอายุการใช้งาน
หลายปีที่ผ่าน ด้วยลูกค้าธุรกิจมากกว่า 100 ธุรกิจ ทำให้ Privage มองเห็น Best practice ในการทำระบบบัตรสมาชิกและสะสมแต้มให้ประสบความเร็จ จึงรวบรวมไอเดียเหล่านั้นพัฒนาระบบ “บัตรสมาชิก บัตรสะสมแต้มเพื่อแลกสิทธิพิเศษ” ขึ้น ในรูปแบบ SaaS (line.privageapp.com) โดยระบบทั้งหมดลูกค้าสามารถใช้งานได้ผ่าน Rich menu ของ Line OA
ใช้งานได้ผ่าน Rich menu ของ Line OA ธุรกิจเอง
ลูกค้าตรวจสอบสถานะบัตร สถานะแต้ม ประวัติการได้รับและสะสมแต้ม
แคมเปญแลกสิทธิพิเศษ มีเงื่อนไขเขียนไว้อย่างชัดเจน
กระเป๋าคูปอง สามารถเปิดใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่หน้าร้าน